Lenovo ยัน ใช้ “TrackPoint” ในโน้ตบุ๊ค โน้ตบุ๊ค ThinkPad ตลอดไป เหตุเคยถอดออกแล้วโดนลูกค้าบ่น
Lenovo

Lenovo ผู้ผลิตโน้ตบุ๊คยักษ์ใหญ่ของวงการ ออกมาประกาศยืนยันในงานฉลองครบรอบ 30 ปี ของโน้ตบุ๊คตระกูล ThinkPad ว่า บริษัทจะยังใส่ “TrackPoint” หรือ “ตุ่มแดง” ที่ทำหน้าที่คล้ายเมาส์บนโน้ตบุ๊คตระกูล ThinkPad ทุกรุ่นต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง

หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยถอดมันออกไปครั้งหนึ่งใน ThinkPad X1 Fold รุ่นแรกปี 2020 ซึ่งเป็นรุ่นจอพบ แต่ถูกผู้ใช้หลายรายเรียกร้องให้นำมันกลับมาใหม่ เพราะหลายคนฝึกใช้จนคล่องและรู้สึกว่มันช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานเป็นอย่างมาก

Lenovo เผย “สีดำ” จะยังถูกใช้เป็นสีหลักของโน้ตบุ๊คตระกูล ThinkPad เหมือนเดิม

Lenovo

Lenovoถือเป็นแบรนด์โน้ตบุ๊คมีงานออกแบบเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของวงการ โดยเฉพาะโน้ตบุ๊คตระกูล ThinkPad ที่ไม่ว่าใครใช้ลองสัมผัสต่างก็ต้องชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งหนึ่งในจุดเด่นของโน้ตบุ๊คตระกูลนี้ก็คือ “TrackPoint” หรือ “ตุ่มแดง” ที่ทำหน้าที่คล้ายเมาส์ตรงกลางแป้นคีย์บอร์ด แต่มีรูปแบบการใช้งานที่เฉพาะตัวกว่า เพราะต้องใช้วิธีคลึง

Lenovo

แต่หากใครที่ฝึกใช้จนคล่องแคล่วจะรู้สึกว่ามันช่วยอำนวยความสะอวดเวลาทำงานเป็นอย่างมาก เพราะไม่ต้องเสียเวลาละมือจากคีย์บอร์ดเพื่อไปจับเมาส์ แต่ถึงกระนั้น เจ้าตุ่มแดงที่ว่านี้ก็เคยถูกบริษัทถอดออกไปครั้งหนึ่งตอนเปิดตัว ThinkPad X1 Fold รุ่นแรกปี 2020 ซึ่งเป็นรุ่นจอพับ แต่ก็ถูกลูกค้าหลายรายร้องเรียนอย่างหนักให้เอามันกลับมา จนสุดท้ายแล้วทางบริษัทก็เอากลับมาบน X1 Fold 2nd Gen รุ่นล่าสุด

Lenovo

ล่าสุด ผู้บริหารของLenovo ออกมาให้คำมั่นสัญญากับผู้ใช้ในงานฉลองครบรอบ 30 ปี ของโน้ตบุ๊คตระกูล ThinkPad ที่จัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ว่า TrackPoint จะยังถูกติดตั้งอยู่ในโน้ตบุ๊คตระกูล ThinkPad ต่อไป

ไม่มีการถอดออกอีกตรองเท่าที่ซีรีส์ ThinkPad ยังคงอยู่ นอกจากนี้ สีดำงล้วนตัดกับสีแดงจะยังคงถูกใช้เป็นสีหลักของโน้ตบุ๊ค ThinkPad เหมือนเดิม แต่บริษัทก็จะผลิตเครื่องสีอื่น ๆ ออกมาเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมในอนาคตด้วย เช่น สีน้ำตาล หรือ สีน้ำเงิน 

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่

ลือสนั่น! Galaxy S22 FE อาจได้ไปต่อในปี 2023 เพื่อแทนที่ Galaxy A74 
Galaxy S22 FE

Galaxy S22 FE ว่าที่มือถือเรือธงรุ่นเล็กจากตระกูลFE Series ที่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลืออย่างหนักว่าทาง Samsung อาจยกเลิกการผลิตมือถือรุ่นFE เนื่องจากรุ่นก่อนอย่าง S21 FE ทำยอดขายได้ไม่เข้าเป้า

ขณะที่รุ่นท็อปสุดอย่างGalaxy S22 Ultra กลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนทำให้มีชิ้นส่วนไม่พอสำหรับการผลิต S22 FE  แต่ล่าสุดมีรายงานว่าทาง Samsung อาจเดินหน้าผลิตS22 FE ออกขายในปี 2023 ตามแผนเดิมเพื่อทดแทนการขาดหายไปของGalaxy A74 ที่ไม่ได้ไปต่อในปีหน้า 

Galaxy S22 FE อาจมาพร้อมชิปเซ็ต Exynos 2300 และกล้องหลังขนาด 108 MP 

Galaxy S22 FE

มือถือGalaxy S22 FE เคยมีข่าวหลุดออกมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2022 ที่ผ่านมาว่า ทาง Samsung อาจยกเลิกการผลิตมือถือรุ่นนี้ในปี 2023 เพราะต้องโยกทรัพยากรส่วนใหญ่ไปป้อนให้สายการผลิตรุ่นท็อปอย่าง S22 Ultra ที่ขายดีจนผลิตออกมาไม่ทัน แต่ล่าสุดมีข่าวลือว่า Samsung ได้มีการเปลี่ยนแผนอีกครั้ง

โดยจะยังคงผลิตS22 FE วางขายในปี 2023 ต่อไปตามแผนเดิมเพื่อแทนที่Galaxy A74 มือถือระดับ Upper Midrange ที่เป็นรุ่นท็อปสุดของตระกูลGalaxy A Series มีช่วงราคาระหว่างหมื่นปลาย ๆ

จนถึง 2 หมื่น ซึ่งได้ถูกตัดออกจากแผนการตลาดในปี 2023 ส่งผลให้ Samsung ขาดมือถือที่อยู่ในช่วงราคาดังกล่าว 

Galaxy S22 FE

ทั้งนี้ คาดกันว่าGalaxy S22 FE จะมาพร้อมสเปคคราว ๆ ได้แก่ ชิปประมวลผล Exynos 2300 กล้องหลังความละเอียดสูงสุด 108MP

และคาดว่าจะเปิดราคามาเท่ากันกับGalaxy A74 โดยอาจเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานGalaxy Unpacked Part 2 ที่จะจัดขึ้นหลังการเปิดตัวเรือธงตัวหลักในไลน์อัปGalaxy S23 Series อย่าง S23, S23+ และ S23 Ultria 

Galaxy S22 FE

และหลังจากนั้นจะมีแท็บเล็ตGalaxy Tab S8 FE ที่ใช้ชิป Exynos 2300 ตามมาอีก  อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูต่อไปว่าGalaxy S22 FEจะอุดช่องว่างราคาระหว่างหมื่นปลาย ๆ จนถึง 2 หมื่นบาท

แทนที่Galaxy A74 ที่โดนตัดทิ้งไปได้สำเร็จตามแผนของ Samsung หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาตระกูล FE ก็ทำยอดขายได้ไม่ค่อยดีนัก

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่

เผยเรนเดอร์ moto G13 มาพร้อมจอ LCD FHD+ กล้องหลัง 50MP ขุมพลัง Snapdragon 732G
moto G13

moto G13 ว่าที่มือถือมิดเรนจ์รุ่นใหม่ของ Motorola ที่ล่าสุดได้มีการปล่อยภาพเรนเดอร์ตัวเครื่องและข้อมูลสเปคบางส่วนออกมาเป็นที่เรียบร้อย โดยมันจะมากับหน้าจอแบบ LCD ขนาด 6.73 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz

ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 13 ใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 732G ที่ให้ความเร็วสูงสุด 2.3GHz และมีกล้องหลังแบบเลนส์คู่ ความละเอียดสูงสุด 50MP พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh รองรับระบบชาร์จไว 20W 

moto G13 อาจมากับชิปเซ็ต Snapdragon 732G และ RAM ขนาด 4GB

moto G13

moto G13ได้มีการปล่อยภาพเรนเดอร์และข้อมูลสเปคบางส่วนออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมันจะมากับดีไซน์ขอบตัวเครื่องแบบเหลี่ยม ด้านหลังมีผิวสัมผัสแบบด้าน ด้านหน้าติดตั้งหน้าจอแบบ LCD ขนาด 6.73 นิ้ว ความละเอียด FHD+

มีค่าความหนาแน่นเม็ดพิกเซลอยู่ที่ 393 ppi รีเฟรชเรท 120Hz ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 13 ใช้ชิปประมวลผลของ Qualcomm อย่าง Snapdragon 732G ขนาด 8 นาโนเมตร ให้ความเร็วสูงสุด 2.3GHz

ทำงานร่วมกับจีพียู Adreno 618 เสริมด้วยหน่วยความจำ RAM ขนาด 4GB และมีพื้นที่เก็บข้อมูลภายในความจุดสูงสุด 128GB พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh ที่รองรับการใช้งานยาวนานตลอดทั้งวัน แถมยังรองรับระบบชาร์จไว 20W อีกด้วย 

moto G13

ในด้านการถ่ายภาพคาดว่าmoto G13 จะมากับกล้องหลังเลนส์คู่ ความละเอียด 50MP+2MP พ่วงไฟแฟลช LED รองรับโหมดการถ่ายภาพ HDR และสามารถบันทึกวิดีโอความคมชัด FHD ที่ 30fps

พร้อมกล้องหน้าความละเอียด 16MP ที่ใช้ดีไซน์แบบเจาะรูตรงกลางด้านบนหน้าจอ สามารถบันทึกวิดีโอความคมชัด FHD ที่ 30fps เช่นเดียวกัน รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 4G, Bluetooth 5.3, NFC, USB Type-C 2.0 และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

moto G13

นอกจากนี้ยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่องอีกด้วย สำหรับmoto G13 คาดว่าจะเปิดตัวช่วงต้นปี 2023 แต่ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับราคาวางจำหน่าย แต่ที่แน่นอนแล้วก็คือจะมีการส่งเข้ามาทำตลาดในไทยด้วย

เพราะมีข้อมูลว่ามันผ่านการรับรองจากทาง กสทช. ของบ้านเราไปตั้งแต่เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เหลือเพียงแค่รอเปิดตัวในบ้านเราเท่านั้น และไม่ควรพลาด star5566 เว็บเดิมพันออนไลน์ เว็บตรง ทางเข้า หลากหลาย ปลอดภัย พร้อม เครดิตฟรี 24ชม.

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่

อัปเดตสเปค Redmi K60 Pro คาดมาพร้อมจอ OLED 2K รีเฟรชเรท 120Hz รองรับมาตรฐาน P3
Redmi K60 Pro

Redmi K60 Pro ว่าที่เรือธงรุ่นใหม่จากไลน์อัป Redmi K60 Series ของค่าย Xiaomi ที่ล่าสุดได้มีข้อมูลเกี่ยวกับสเปคหน้าจอถูกปล่อยออกมาแล้ว โดยมันจะใช้หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K รีเฟรชเรท 120Hz

รองรับการแสดงผล HDR10+ พร้อมมาตรฐาน P3 ที่เป็นมาตรฐานสีของการผลิตภาพยนต์ดิจิทัลในอเมริกาและมีขอบเขตของสีกว้างกว่า sRGB และยังติดตั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจออีกด้วย 

Redmi K60 Pro อาจมากับชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 ขนาด 4 นาโนเมตร แรง 3.2GHz

Redmi K60 Pro

Redmi K60 Proจะมาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ OLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K มีค่าความหนาแน่นเม็ดพิกเซลสูงถึง 526 ppi รีเฟรชเรท 120Hz รองรับการแสดงผล HDR10+ ปรับความสว่างได้สูงสุดถึง 1,400 nits

รองรับมาตรฐาน P3 ที่เป็นมาตรฐานสีของการผลิตภาพยนต์ดิจิทัลในอเมริกาและมีขอบเขตของสีกว้างกว่า sRGB ตัวหน้าจอจะควบคุมแสงแบบ PWM ที่ความถี่ 1920Hz และติดตั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ ครอบด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus 

Redmi K60 Pro

ในส่วนของสเปคอื่น ๆ ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ คาดกันว่ามันจะมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 13 ตั้งแต่แกะกล่อง ครอบด้วย MIUI 14

ใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 8 Gen 2 ขนาด 4 นาโนเมตร ให้ขุมพลังสูงสุดถึง 3.2GHz ทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 12GB และมีพื้นที่เก็บข้อมูลภายในความจุ 256GB

ติดตั้งกล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดกล้องหลักอยู่ที่ 50MP ใช้เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX890 และมีกล้องหน้าความละเอียด 16MP ที่ใช้ดีไซน์แบบเจาะรูตรงกลางด้านบนหน้าจอ

พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,500mAh รองรับระบบชาร์จไว 67W และระบบชาร์จไร้สายที่ 30W รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 5G, Wi-Fi6E, Bluetooth 5.3, NFC และ USB Type-C 2.0 

Redmi K60 Pro

สำหรับRedmi K60 Pro มีกำหนดเปิดตัวพร้อมกับRedmi K60 และ K60 Pro+ ที่ประเทศจีน ในวันที่ 27 ธันวาคมนี้ และวางขายในช่วงต้นปี 2023 นอกจากนี้Redmi ยังเผยอีกว่า K60 Series จะไม่มีเวอร์ชั่นเกมมิ่งเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้

เพราะประสิทธิภาพของเรือธงทั้ง 3 รุ่นแรงเพียงพอสำหรับการเล่นเกมบนมือถือได้แบบสบาย ๆ อยู่แล้วนั่นเอง และขอแนะนำ Vegus33 เว็บไซต์คาสิโนออนไลน์ที่1 มาแรงสุด เล่นง่าย รวยไว ปลอดภัย ให้กำไรสูง

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่

เผยโฉม Clarus Outdoor TV ทีวีกลางแจ้งจอ mini LED กันน้ำ กันฝุ่น แถมทนความร้อน
Clarus Outdoor TV

Clarus Outdoor TV สมาร์ททีวีจากแบรนด์ SKYWORTH ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการใช้งานกลางแจ้งโดยเฉพาะ มาพร้อมหน้าจอแบบ mini LED ที่ให้ภาพชัดแจ๋วสามารถแสดงสีดำได้ดำสนิท รองรับการแสดงผล Dolby Vision กับ HDR10 รับความสว่างได้สูงสุด 3,000 nits

และยังมีเซนเซอร์ Intelligent Ambient Light ที่จะช่วยปรับแสงและอุณหภูมิสีให้เหมาะกับสภาวะแสงแวดล้อม สามารถดูหนังออนไลน์ สตรีมภาพจากอุปกรณ์อื่นก็ได้ง่าย ๆ แบบไม่ต้องเชื่อมต่อผ่านสายเพราะรองรับระบบ Google TV

Clarus Outdoor TV มีลำโพงสเตอริโอจำนวน 8 ตัว ให้กำลังขับสูงสุดถึง 100W 

Clarus Outdoor TV

สำหรับClarus Outdoor TV ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกลางแจ้ง ทำให้มีความทนทานกว่าสมาร์ททีวีทั่วไปที่ส่วนใหญ่มักใช้งานภายในบ้าน โดยมันสามารถทนแดดได้เป็นเวลานานด้วยตัวเครื่องที่ผลิตจากวัสดุประเภทโลหะ มีคุณสมบัติทนความร้อน-ความเย็นได้ดี, กันน้ำ/กันฝุ่น, กันแมลง และยังกันกระแทกด้วย

มาพร้อมหน้าจอแบบ mini LED ที่ให้ภาพชัดแจ๋วสามารถแสดงสีดำได้ดำสนิท รองรับการแสดงผล Dolby Vision กับ HDR10 รับความสว่างได้สูงสุด 3,000 nits

และยังมีเซนเซอร์ Intelligent Ambient Light ที่จะช่วยปรับความสว่างและอุณหภูมิสีให้เหมาะกับสภาวะแสงแวดล้อมโดยอัตโนมัติ สามารถดูหนังออนไลน์ สตรีมภาพจากอุปกรณ์อื่นก็ได้ง่าย ๆ แบบไม่ต้องเชื่อมต่อผ่านสายเพราะรองรับระบบ Google TV

Clarus Outdoor TV

นอกจากนี้Clarus Outdoor TV ยังมากับลำโพงสเตอริโอจำนวน 8 ตัว ให้กำลังขับสูงสุดถึง 100W ซึ่งทรงพลังพอสำหรับการใช้งานกลางแจ้งให้เสียงได้ทั่วถึง ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ลำโพงเสริมมาต่อเพิ่มให้รกสายตา แถมยังรองรับระบบเสียง Dolby Atmos ที่ช่วยเพิ่มมิติและความกระหึ่มของเสียงขึ้นไปอีกขั้น ที่สำคัญคือสามารถเชื่อมต่อกับมือถือผ่าน Bluetooth ใช้เป็นลำโพงไร้สายได้อีกด้วย

สำหรับClarus Outdoor TV มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2023 นี้ ส่วนราคาวางจำหน่ายทาง SKYWORTH ยังไม่ออกมาเปิดเผยข้อมูล

ซึ่งคงต้องรอติดตามข่าวกันอีกทีหนึ่ง และอย่าพลาด sa game เว็บตรง คาสิโนออนไลน์ อันดับ 1 ของประเทศ เล่นง่าย รวยไว ปลอดภัย ให้กำไรมากมาย

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่

Backblaze เผย ต้นทุนฮาร์ดไดรฟ์มีแนวโน้มถูกลงเรื่อย ๆ คาดเหลือแค่ 35 สตางค์ในปี 2025
Backblaze

Backblaze ผู้ให้บริการที่เก็บข้อมูลคลาวด์ยักษ์ใหญ่ ออกมาเปิดเผยผลการสำรวจต้นทุนการผลิตของอุปกรณ์เก็บข้อมูลประเภทฮาร์ดไดรฟ์พบว่า มีราคาถูกลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2009

ซึ่งเป็นช่วงที่ที่เก็บข้อมูลแบบ NAND Flash เริ่มเข้ามาตีตลาดพอดี โดยคาดว่าภายในปี 2 ปีข้างหน้า หรือราวปี 2025 ต้นทุนฮาร์ดไดรฟ์จะลดลงเหลือแค่ 35 สตางค์เท่านั้น 

Backblaze เผย ปัจจุบันฮาร์ดไดรฟ์มีต้นทุนอยู่ที่ 0.014 เหรียญสหรัฐฯ 

Backblaze

Backblazeออกมาเปิดเผยผลการสำรวจราคาต้นทุนของที่เก็บข้อมูลประเภทฮาร์ดไดรฟ์พบว่า ฮาร์ดไดรฟ์มีราคาถูกลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปีนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงที่ที่เก็บข้อมูลแบบ NAND Flash เริ่มเข้ามาตีตลาดพอดี โดยในปี 2009 ราคาเฉลี่ยต้นทุนฮาร์ดไดรฟ์อยู่ที่ 0.110 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3.85 บาทต่อกิกะไบต์

แต่อีก 8 ปีต่อมา หรือในปี 2017 ลดลงมาเหลือ 0.030 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1.05 บาทต่อกิกะไบต์ และล่าสุดในปี 2022 เหลือเพียง 0.014 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 0.49 บาทต่อกิกะไบต์เท่านั้น

เฉลี่ยแล้วราคาต้นทุนต่อกิกะไบต์ของฮาร์ดไดรฟ์ลดลงเดือนละ 0.52% ทุกเดือนนับตั้งแต่ปี 2009 และนับตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2022 ราคาต้นทุนต่อกิกะไบต์ของฮาร์ดไดรฟ์ลดลงไปถึง 56.36% เลยทีเดียว 

Backblaze

ทั้งนี้Backblaze ประเมินว่า ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือราวปี 2025 หากทิศทางของตลาดยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ หรือมีการแทรกแซงใด ๆ ที่มีนัยยะสำคัญต่อราคาของฮาร์ดไดรฟ์

ราคาฮาร์ดไดรฟ์ก็จะลดลงอีกเหลือเพียง 0.001 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 0.35 บาท (35 สตางค์) ต่อกิกะไบต์เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเราอาจได้เห็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบฮาร์ดไดรฟ์ทั้งหมด

Backblaze

ไม่ว่าจะเป็น ฮาร์ดดิสก์จานหมุน, External Hard Disk, USB ฮาร์ดไดรฟ์ มีราคาต่ำกว่าในปัจจุบันพอสมควร ทั้งที่ปัจจุบันราคาวางจำหน่ายของอุปกรณ์เหล่านี้ก็ค่อนข้างถูกลงจากเมื่อก่อนมากแล้ว

สังเกตในตลาดที่ราคาแฟลชไดรฟ์ความจุ 64GB บางรุ่น เหลือไม่ถึง 200 บาท ส่วนรุ่นที่มีความจุมากกว่า 64G ก็มีแนวโน้มว่าจะราคาถูกลงเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน  และขอเสนอ itp slot สล็อตคุณภาพ เล่นง่าย รวยไว ปลอดภัย ฝากถอนง่าย ให้รางวัลสูง

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่

เปิดตัว Moto G Play (2023) มาพร้อมจอ IPS กว้าง 6.5 นิ้ว แบตอึด 5,000mAh ขุมพลัง Helio G37
Moto G Play (2023)

Moto G Play (2023) มือถือรุ่นเล็กน้องใหม่จากตระกูล G Play Series ที่มาพร้อมตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP52 ติดตั้งหน้าจอแบบ IPS LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด HD+ รีเฟรชเรท 90Hz ใช้สัดส่วนแบบ 20:9

ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 12 ใช้ชิปประมวลผล Helio G37 ที่ให้ความเร็วสูงสุด 2.3GHz และมีกล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 16MP พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh รองรับระบบชาร์จไว 10W 

Moto G Play (2023) มากับชิปเซ็ต Helio G37 และ RAM ขนาด 3GB

Moto G Play (2023)

มือถือMoto G Play (2023) มาพร้อมตัวเครื่องพลาสติกขนาด 167.2 x 76.5 x 9.4 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 203 กรัม มีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP52

ด้านหน้าติดตั้งหน้าจอแบบ IPS LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด HD+ ใช้สัดส่วนแบบ 20:9 มีค่าความหนาแน่นเม็ดพิกเซลอยู่ที่ 270 ppi รีเฟรชเรท 90Hz ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 12

ใช้ชิปประมวลผล MediaTek Helio G37 ขนาด 12 นาโนเมตร ให้ความเร็วสูงสุด 2.3GHz ทำงานร่วมกับจีพียู PowerVR GE8320 ที่แรงพอรองรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันได้แบบสบาย ๆ

เสริมด้วยหน่วยความจำ RAM ขนาด 3GB และมีพื้นที่เก็บข้อมูลภายในความจุ 32GB พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh ที่รองรับการใช้งานได้ตลอดทั้งวัน แถมยังรองรับระบบชาร์จไว 10W อีกด้วย

Moto G Play (2023)

Moto G Play (2023) ยังมากับกล้องหลังจำนวน 3 ตัว ความละเอียดอยู่ที่ 16MP+2MP+2MP พ่วงไฟแฟลช LED และระบบ PDAF ติดตั้งอยู่บนฐานทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบแนวตั้ง รองรับการถ่ายภาพโหมด HDR และสามารถบันทึกวิดีโอความคมชัด FHD ที่ 30fps

พร้อมกล้องหน้าความละเอียด 5MP ที่ใช้ดีไซน์แบบเจาะรูตรงกลางด้านบนหน้าจอ สามารถบันทึกวิดีโอความคมชัด FHD ที่ 30fps เช่นเดียวกัน

รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 4G, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.0, USB Type-C และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร นอกจากนี้ยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่องด้วย

Moto G Play (2023)

สำหรับMoto G Play (2023) เปิดตัวในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยมีเพียงสีเดียวคือ สีน้ำเงิน มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 170 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5,xxx บาท

วางจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ Motorola, Amazon และ BestBuy ส่วนจะมีการนำเข้ามาทำตลาดในบ้านเราด้วยหรือไม่นั้น คงต้องรอติดตามข่าวกันอีกทีหนึ่ง  และอย่าพลาด สล็อต โจ๊กเกอร์ เล่นง่าย รวยไว ปลอดภัย ให้รางวัลมากมาย

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่

เปิดตัว Kingston Mini Rabbit แฟลชไดร์ฟน้องต่ายเคี้ยวแครอทสุดน่ารัก พร้อมแพ็คเกจแพ็กเกจขวดน้ำผลไม้
Kingston Mini Rabbit

Kingston Mini Rabbit แฟลชไดร์ฟ USB รูปน้องกระต่ายสีชมพูกำลังเคี้ยงแครอทสุดน่ารัก บรรจุอยู่ในแพ็คเกจทรงขวดน้ำแครอท ออกแบบมาเพื่อให้เป็นของขวัญต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขช่วงปลายปีโดยเฉพาะ โดยน้องกระต่ายมีผิวสัมผัสเนื้อยางเรียบเนียน มีคุณสมบัติช่วยกันกระแทก

ส่วนตัวแฟลชไดร์ฟมีความจุ 64GB รองรับ USB 3.2 Gen 1 ที่สามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐาน USB 2.0 ได้ รองรับการใช้งานกับ ทั้ง Windows 11, 10, Mac OS , Linux และ Chrome OS ใช้งานได้ทั้งการจัดเก็บข้อมูลในชีวิตประจำวัน, การใช้งานที่โรงเรียน ที่ทำงาน และการเดินทาง

Kingston Mini Rabbit สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับ USB 2.0

Kingston Mini Rabbit

Kingston Mini Rabbitเป็นแฟลชไดร์ฟ USB ที่มาในรูปร่างน้องกระต่ายรูปทรงคล้ายไข่แสนน่ารักกำลังเคี้ยวแครอท ขนาดกะทัดรัดเพียง 42.6 x 25.01 x 35.42 มิลลิเมตร บรรจุอยู่ในแพ็กเกจทรงขวดน้ำผลไม้ยังมีห่วงที่เป็นตัวคล้องกุญแจเพิ่มสิ่งสะดวกในการพกพาแฟลชไดรฟ์ไปใช้งานได้ทุกที่ที่ต้องการ

ตัวน้องกระต่ายมีผิวสัมผัสเนื้อยางเรียบเนียน มีคุณสมบัติช่วยกันกระแทกเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญที่อยู่ด้านในให้ปลอดภัย ส่วนตัวแฟลชไดร์ฟมาพร้อมความจุ 64GB รองรับ USB 3.2 Gen 1 ความเร็วสูงสุดในการอ่านที่ 200MB/s และการเขียนที่ 20MB/s

Kingston Mini Rabbit

สามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐาน USB 2.0 ที่ใช้กันทั่วไปได้ แต่จะถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับ USB 2.0 รองรับการใช้งานกับ

ทั้ง Windows 11, 10, Mac OS , Linux และ Chrome OS ทำให้เหมาะกับการจัดเก็บข้อมูลในชีวิตประจำวัน, การใช้งานที่โรงเรียน ที่ทำงาน และการเดินทาง หรือจะซื้อให้เป็นของขวัญต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขช่วงปลายปีก็เหมาะสม 

Kingston Mini Rabbit

สำหรับKingston Mini Rabbit วางจำหน่ายในไทยแล้วผ่านร้านค้าปลีกที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ของKingston ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยมีราคาอยีที่ 790 บาท พร้อมโปรโมชันลุ้นรับสมุดแพลนเนอร์สำหรับปี 2023 จากKingston เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2022 – 31 มกราคม 2023

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังรับประกัน 5 ปี พร้อมบริการทางเทคนิคฟรีอีกด้วย และขอแนะนำ สมัคร จีคลับ168 เว็บคาสิโนคุณภาพ เล่นง่าย รวยไว ปลอดภัย ให้รางวัลมากมาย

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่

เปิดตัว MegaBook S1 โน๊ตบุ๊คพรีเมียมด้วยชิป Intel Core i7 12th Gen จอละเอียด 3.2K รีเฟรชเรท 120Hz
MegaBook S1

MegaBook S1 โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ของค่าย Tecno ที่มาพร้อมดีไซน์ตัวเครื่องบางเฉียบเพียง 13.5 มิลลิเมตร น้ำหนักรวมเพียง 1.35 กิโลกรัม

ติดตั้งหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 3.2K รีเฟรชเรท 120Hz ครอบคลุมขอบเขตสี 100% ของ sRGB มีลำโพงสเตอริโอ 6 ตัว

ระบบเสียง DTS X: Utlra ใช้ซีพียูตระกูล Intel Core i7 12th Gen ทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 16GB และมีพื้นที่เก็บข้อมูลภายในแบบ PCIe 4.0 SSD ความจุสูงสุด 1TB พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 70Wh รองรับระบบชาร์จไว 65W 

MegaBook S1 มาพร้อมขุมพลัง Intel Core i7 12th Gen และ RAM แบบ LPDDR5

MegaBook S1

โน๊ตบุ๊คMegaBook S1 มาพร้อมตัวเครื่องที่ผลิตจากวัสดุแมกนีเซียมอัลลอย มีน้ำหนักเบาเพียง 1.35 กิโลกรัม และบางเพียง 13.5 มิลลิเมตร ติดตั้งหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 3.2K รีเฟรชเรท 120H

ครอบคลุมขอบเขตสี 100% ของ sRGB ปรับความสว่างได้สูงสุดที่ 450 nits จัดเต็มด้านเสียงด้วยลำโพงสเตอริโอ 6 ตัว

ให้กำลังขับ 35W รองรับระบบเสียง DTS X: Utlra ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 11 ใช้ซีพียูตระกูล Intel Core i7 12th Gen ทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 16GB

และมีพื้นที่เก็บข้อมูลภายในแบบ PCIe 4.0 SSD ความจุสูงสุด 1TB พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 70Wh ใช้งานได้ยาวนาน รองรับระบบชาร์จไว 65W ผ่านพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C 

MegaBook S1

โน๊ตบุ๊คMegaBook S1 ยังมาพร้อมฟีเจอร์พิเศษอย่างกล้องเว็บแคมที่มีระบบ AI ช่วยประมวลผลภาพ แถมยังมีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวเพื่อดับหน้าจออัตโนมัติในกรณีที่มีคนแอบดูหน้าจอจากด้านหลัง

ตัวโน๊ตบุ๊คยังมี NFC ที่สามารถนำมือถือของ Tecno มาแตะเพื่อแสดงผลหน้าจอมือถือบนหน้าจอโน้ตบุ๊คได้ด้วย นอกจากนี้

ตัวโน๊ตบุ๊คยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-C จำนวน 1 พอร์ต, USB-A จำนวน 2 พอร์ต, HDMI จำนวน 1 ช่อง, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และรองรับ microSD Card 

MegaBook S1

สำหรับMegaBook S1 มีด้วยกัน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น 512GB และรุ่น 1TB โดยราคาของรุ่น 512GB อยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 52,xxx บาท

ส่วนรุ่น 1TB อยู่ที่ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 55,xxx บาท ส่วนจะมีการนำเข้ามาทำตลาดในบ้านเราด้วยหรือไม่นั้น คงต้องรอติดตามข่าวจารกทาง Tecno กันอีกทีหนึ่ง 

และไม่ควรพลาด ยูฟ่าสล็อต777  รวมเกมสล็อตออนไลน์สำหรับทุกคน เล่นง่าย รวยไว ฝากถอนง่าย ปลอดภัย เล่นได้ไม่จำกัดเวลา

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่

Apple ผงาดในจีน ครองส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน 1 ใน 4 ของแผ่นดินใหญ่
Apple

Apple ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนตระกูล iPhone ถือเป็นหนึ่งแบรนด์มือถือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศจีนตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่านับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนในจีนหดตัวลงอย่างมาก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลต่อยอดขาย iPhone เท่าไรหนัก เพราะข้อมูลล่าสุดระบุว่า iPhone ครองส่วนแบ่งการตลาดมือถือในประเทศจีนมากถึง 25% ซึ่งเดิมทีพื้นที่ตลาดส่วนนี้เคยเป็นของแบรนด์เจ้าถิ่นอย่าง HUAWEI ที่เสียส่วนแบ่งตลาดไปเพราะได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯ นั่นเอง

Apple มียอดขาย iPhone ปี 2022 ลดลงเพียง 4% ขณะที่ตลาดมือถือในจีนหดตัวถึง 15%

Apple

อ้างอิงข้อมูลจาก Counterpoint Research พบว่าApple กลายเป็นแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศจีนมากถึง 25% หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของตลาดมือถือในประเทศจีน

เทียบกับเมื่อช่วงปี 2013 หรือเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วซึ่งมือถือตระกูล iPhone ครอบส่วนแบ่งการตลาดในจีนเพียง 12% เท่านั้น ทั้งนี้ ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มมาเป็นเท่าตัวนี้ เดิมทีเคยเป็นของแบรนด์เจ้าถิ่นอย่าง HUAWEI แต่ต้องเสียส่วนไปเพราะได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

Apple

“อีธาน ฉี” (Ethan Qi) ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาดของ Counterpoint Research เผยว่า ตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศจีนเข้าสู่ภาวะซบเซาอย่างหนักนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ตามด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รวมถึงมาตรการปิดเมืองของรัฐบาลจีนเพื่อกดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดเป็นเป็นศูนย์ ส่งผลให้ตลาดมือถือในจีนหดตัวลงถึง 15% ในปี 2022 แต่ยอดขาย iPhone กลับลดลงเพียง 4% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าความนิยมมือถือตระกูล iPhone ในจีนสูงมากเพียงใด

Apple

นอกจากนี้ Counterpoint Research ยังเสริมอีกว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาApple กลายเป็นแบรนด์มือถือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของตลาดมือถือระดับพรีเมียมในจีนอย่างที่ไม่มีแบรนด์ไหนในประเทศสู้ได้เลย

โดยเฉพาะในช่วงปลายปีของทุกปีที่จะมีการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ก็ยิ่งดันส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด  และอย่าพลาด ยูฟ่าสล็อต สล็อตออนไลน์ UFABET ครบทุกค่ายเกมส์ เล่นง่าย รวยไว ปลอดภัย ให้กำไรสูง

ติดตาม ข่าวสารวงการไอที และ อัพเดทได้ก่อนใครที่นี่